
ความคืบหน้ากรณีผู้สูงอายุ ในเขตบางกอกน้อย ถูกมิจฉาชีพโทรศัพท์แอบอ้างว่าเป็นลูก และหลอกให้โอนเงินไปให้ ซึ่งข่าว 3 มิตินำเสนอไปเมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา ล่าสุดหนึ่งในผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ เข้าพบพนักงานสอบสวนแล้วตามหมายเรียก และยอมรับว่ามีเงินเข้าบัญชีจริง แต่อ้างว่าเป็นเงินของลูกค้าร้านเกมส์ และปฎิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มคนที่โทรศัพท์มาหลอกเอาเงินดังกล่าว
ชายวัย 24 ปี คนนี้เข้าพบพนักงานสอบสวนนครบาล บางกอกน้อย ตามหมายเรียกของตำรวจ หลังจากพบข้อมูลว่าเป็นบุคคลสุดท้ายที่รับเงิน ซึ่งถูกโอนผ่านบริการ โอนเงินออนไลน์ ของทรู วอลเล็ท เมื่อวันที่ 14 เมษายนที่ผ่านมา โดยผู้โอนเงินผ่านระบบนี้ คือหญิงวัย 70 ปี ที่มีผู้โทรศัพท์มาหลอกว่าเป็นเพื่อนของลูกชาย ต้องการใช้เงินด่วน กระทั่งภายหลังพบว่าเป็นขบวนการหลอกโอนเงินทางโทรศัพท์
ชายคนนี้สารภาพว่าเป็นเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์ ที่ถูกระบุถึงในใบเสร็จการโอนเงินนั้นจริง โดยมีเงินเข้าระบบ 2,000 บาท และนำเงินนั้นไปใช้จ่ายแล้ว พร้อมทั้งอ้างว่า โดยปกติมีรายได้ จากการให้บริการเติมแต้มเข้าในระบบเกมส์ โดยลูกค้าจะโอนเงินผ่านระบบดังกล่าวมาให้ แต่ไม่รู้ว่าเงินจำนวนดังกล่าวมีที่มาอย่างไร อีกทั้งคนที่โอนเงินมา 2,000 บาทนี้ ก็เป็นลูกค้าประจำ ซึ่งเล่นเกมส์ที่เขาดูแลอยู่ประมาณ 2 เดือน
นอกจากนี้ ยังเคยได้รับการโอนเงินมาแล้วมากกว่า 10 ครั้ง เมื่อมีหมายเรียกจากตำรวจ จึงเข้าพบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกรณีที่มิจฉาชีพโทรศัพท์ไปหลอกผู้เสียหายให้โอนเงิน
ระหว่างพบพนักงานสอบสวน ผู้ต้องสงสัยซึ่งมีพี่ชายและเพื่อนมาด้วยรวม 3 คน พยายามอธิบายข้อเท็จจริงให้ทีมข่าวทราบรายละเอียดและขั้นตอนการรับเงิน แต่ไม่เปิดเผยประเภทของเกมส์ดังกล่าว
นอกจากนี้ พี่ชายของผู้ต้องสงสัย พยายามเจรจาให้ผู้เสียหายไม่แจ้งความดำเนินคดี โดยเสนอคืนเงินให้จำนวนหนึ่งซึ่งมากกว่าเงินที่ผู้เสียหายถูกหลอกไป แต่ผู้เสียหาย ปฎิเสธข้อเสนอ และขอให้ตำรวจดำเนินการตามกฎหมายเพื่อเอาผิดผู้เกี่ยวข้อง และหากผู้ต้องสงสัยยืนยันในความบริสุทธิ์ ก็มีขั้นตอนพิสูจน์ข้อเท็จจริงของตนเองได้ เบื้องต้น ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหา ร่วมกันฉ้อโกง โดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ร้อยตำรวจโทพิชญา ฮะวังจู รองสารวัตรสอบสวนนครบาลบางกอกน้อย ระบุว่า แม้ผู้ต้องสงสัยจะอ้างว่าไม่เกี่ยวข้องกับที่มาของเงิน แต่หลังจากเงินเข้าบัญชีไปแล้ว ผู้ต้องสงสัยได้กดเงินจำนวนนี้ออกไป ซึ่งตำรวจจะเรียกมาสอบปากคำอีกครั้งวันจันทร์หน้า และหากพาดพิงบุคคลใดว่าเกี่ยวข้องกับเงินดังกล่าว ก็จะออกหมายเรียกบุคคลนั้น มาสอบปากคำเพิ่มเติม โดยเชื่อว่าจากพยานหลักฐานที่มี จะขยายผลเอาผิดกับมิจฉาชีพที่ก่อเหตุ
สำหรับคดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 เมษายน ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้สูงอายุ อยู่บ้านเพียงลำพัง ปรากฏว่า มีมิจฉาชีพโทรเข้าเบอร์โทรศัพท์บ้าน วันเดียว 2 ครั้ง ครั้งแรก อ้างตัวว่าเป็นลูกชาย ต้องการเงินด่วน และขอให้พ่อช่วยโอนเงินให้ ซึ่งมิจฉาชีพได้เงินไป 20,000 บาท และครั้งที่สอง คือกรณีนี้ ที่อ้างตัวว่าเป็นเพื่อนของลูกชาย หลอกให้โอนเงินให้ ผ่านระบบดังกล่าวกระทั่งเสียเงินอีก 2,000 บาท
